ดูบอลสด พรีเมียร์ลีก ดูบอลออนไลน์ ครบทุกลีก อัพเดตตลอด 24 ชม.

ลิเวอร์พูลบุกเฉือนเปแอสเช 1-0 ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีม นัดแรก โชคดีหรือความเหนียวของอลิสซอน?

ลิเวอร์พูล vs เปแอสเช060325

ลิเวอร์พูล ยอดทีมจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ บุกไปเอาชนะ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (เปแอสเช) จ่าฝูงลีกเอิง ฝรั่งเศส ถึงถิ่น ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ ด้วยสกอร์ 1-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก เมื่อคืนวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา โดยประตูชัยมาจาก ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ตัวสำรองที่ลงสนามเพียง 47 วินาที ก่อนยิงประตูสำคัญในนาทีที่ 87 แต่ชัยชนะครั้งนี้ไม่ได้มาแบบง่ายดาย เมื่อ “หงส์แดง” ต้องเผชิญกับเกมบุกหนักหน่วงของเจ้าถิ่น และโชคดีในหลายจังหวะที่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากความพ่ายแพ้

เกมนี้ เปแอสเชครองบอลถึง 65% และสร้างโอกาสยิงได้ถึง 28 ครั้ง แต่ไม่สามารถเจาะผ่าน อลิสซอน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูจอมหนึบของลิเวอร์พูลได้เลย นายด่านชาวบราซิลโชว์ฟอร์มระดับโลกด้วยการเซฟถึง 9 ครั้ง โดยเฉพาะจังหวะสำคัญในครึ่งแรกที่เขาปฏิเสธลูกยิงของ ควิชา ควารัตสเคเลีย และการดวลตัวต่อตัวกับ แบรดลีย์ บาร์โกลา ในครึ่งหลัง ความเหนียวหนึบของอลิสซอนกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลเก็บคลีนชีตและคว้าชัยชนะกลับบ้าน

2 จังหวะสำคัญที่เปลี่ยนเกม

แม้อลิสซอนจะเป็นฮีโร่ แต่ลิเวอร์พูลยังต้องพึ่งโชคในสองจังหวะสำคัญที่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากการเสียประตู:

  1. วีเออาร์ริบประตูของเปแอสเช
    ในนาทีที่ 20 ควิชา ควารัตสเคเลีย ปั่นโค้งเสียบเสาไกลอย่างสวยงาม แต่หลังจากตรวจสอบด้วยวีเออาร์ ผู้ตัดสินตัดสินว่าเป็นจังหวะล้ำหน้า เนื่องจากขาซ้ายของควารัตสเคเลียเหลื่อมกับ ไรอัน กราเฟนแบร์ก เพียงเล็กน้อย ทำให้ประตูถูกริบคืน
  2. โกนาเตรอดใบแดง
    นาทีที่ 25 อิบราฮิมา โกนาเต กองหลังลิเวอร์พูล เข้าปะทะหนักใส่ แบรดลีย์ บาร์โกลา ในจังหวะหลุดเดี่ยว ผู้เล่นเปแอสเชเรียกร้องให้ผู้ตัดสินแจกใบแดงเนื่องจากโกนาเตเป็นผู้เล่นคนสุดท้าย แต่หลังจากเช็กวีเออาร์ ผู้ตัดสินตัดสินว่าเป็นเพียงการฟาวล์ธรรมดา ทำให้โกนาเตยังอยู่ในสนามและลิเวอร์พูลยังเหลือผู้เล่นครบ 11 คน

จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 87 เมื่อ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ถูกส่งลงสนามแทน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และใช้เวลาเพียง 47 วินาทีในการทำประตูชัย หลังรับบอลจาก ดาร์วิน นูนเญซ ก่อนยิงด้วยเท้าซ้ายผ่านมือ จานลุยจิ ดอนนารุมมา เข้าไปอย่างเฉียบขาด ประตูนี้ไม่เพียงทำให้เอลเลียตต์กลายเป็นฮีโร่ แต่ยังช่วยให้ลิเวอร์พูลกุมความได้เปรียบก่อนกลับไปเล่นในบ้านที่แอนฟิลด์